Category Archives: วิชาการ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการแตกร้าวในคอนกรีต

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการแตกร้าวในคอนกรีต ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการแตกร้าวขึ้นในคอนกรีตสามารถอาจสามารถที่จะสรุปได้ดังนี้ 1) วัตถุดิบและสัดส่วนการผสมคอนกรีต อัน ได้แก่ วัสดุมวลรวม ปูนซีเมนต์ น้ำ น้ำยาผสมคอนกรีต – วัสดุมวลรวม ได้แก่ หิน ทราย แร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ รูปร่างลักษณะของผิวและส่วนคละของวัสดุมวลรวมมีผลต่อการออกแบบส่วนผสม สัมประสิทธิ์การนำความร้อน DRYING SHRINKAGE, STIFFNESS, CREEP และ ความแข็งแรงของคอนกรีต เช่น หินและทรายที่มีดินเหนียวปนอยู่ด้วย จะหดตัวมากกว่าปูนซีเมนต์จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คอนกรีตเกิดการแตกร้าวได้ง่าย เป็นต้น – ปูนซีเมนต์ โดยทั่วไปคอนกรีตที่ใช้ปูนซีเมนต์มากหรือเป็นปูนซีเมนต์ที่มีปริมาณซิลิก้าสูงหรือมีความละเอียดสูง เช่น ปอร์ตแลนด์ ประเภท 3 ก็จะมีโอกาสที่จะเกิดการแตกร้าวได้มาก เป็นต้น – น้ำ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการผสมคอนกรีตเพราะถ้าใช้น้ำในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการแตกร้าวได้มาก และ ยังทำให้กำลังอัดของคอนกรีตลดต่ำลงด้วย – น้ำยาผสมคอนกรีต น้ำยาบางชนิดอาจมีผลทำให้เกิดการแตกร้าวได้ เช่น น้ำยาเร่งการแข็งตัว แต่น้ำยาบางชนิด ก็ช่วยลดการแตกร้าวได้ เช่น น้ำยาหน่วงการก่อตัว เป็นต้น 2) […]

ปัญหาและเทคนิคในการทำงานก่อสร้างโครงสร้างเหล็กแผ่น

ปัญหาและเทคนิคในการทำงานก่อสร้างโครงสร้างเหล็กแผ่น ประเภทของการออกแบบและการใช้งานโครงสร้างเหล็กแผ่นที่จะมีหน้าที่ในการรับแรงอัดจากเสาเหล็ก หรือเรียกง่ายๆ ว่าโครงสร้าง BASE PLATE มีทั้งหมด 2 ประเภทด้วยกัน ประเภทที่ 1 แบบที่ไม่มีการเทให้เต็มด้วยซีเมนต์ชนิดไม่มีการหดตัวหรือ NON-SHRINK GROUT ประเภทที่ 2 แบบที่มีการเทให้เต็มด้วยซีเมนต์ชนิดไม่มีการหดตัว หากสังเกตดูจากรูป ใต้เหล็กแผ่นจะมีการเทให้เต็มด้วย NON-SHRINK GROUT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นไปตามที่ผู้ออกแบบได้ทำการตั้งสมมติฐานเอาไว้ วิธีในการทำงานติดตั้งแผ่นเหล็กเพื่อทำหน้าที่ในการรองรับเสาเหล็ก ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบหลักๆ ซึ่งประกอบด้วย 1. จะต้องมีการ GROUT ใต้แผ่น PLATE ด้วยวัสดุ NON-SHRINK ซึ่งหากเป็นโครงสร้างที่พบได้โดยทั่วๆ ไปแล้ว วิศวกรผู้ออกแบบก็มักที่จะทำการกำหนดให้รายละเอียดของจุดต่อให้เป็นแบบนี้ 2. ไม่จำเป็นต้องมีการ GROUT ใต้แผ่น PLATE ด้วยวัสดุ NON-SHRINK ใดๆ เลย ซึ่งก็อาจจะพบเห็นได้เหมือนกันแต่จะมีในสัดส่วนที่น้อยกว่าแบบแรกค่อนข้างมาก สาเหตุที่พบแบบที่สองได้น้อยกว่าแบบแรกก็เพราะ หากทำตามแบบแรกซึ่งเป็นการ GROUT ด้วยวัสดุ NON-SHRINK เนื่องด้วยการที่ตัววัสดุมีจุดเด่นทางด้าน หน่วยแรงเค้นแบบกด […]

คานคอดิน (GROUND BEAM) ควรอยู่สูงจากระดับพื้นดินเท่าไหร่

คานคอดิน (GROUND BEAM) ควรอยู่สูงจากระดับพื้นดินเท่าไหร่ คือส่วนประกอบโครงสร้างบนดินที่รับน้ำหนักพื้น ผนัง และสิ่งที่อยู่เหนือคานคอดินขึ้นไป แล้วจึงถ่ายน้ำหนักไปยังตอม่อและฐานรากต่อไป การก่อสร้างคานคอดิน แบ่งจากระดับความสูงจากพื้นดินได้ 2 แบบ 1. คานคอดินวางอยู่บนระดับดิน เนื่องจากระดับพื้นชั้นล่างอยู่สูงจากระดับดินไม่มากนัก ในการก่อสร้างจึงมักทำเนินดินให้สูงเสมอท้องคานคอดิน และเทลีน(Lean) เพื่อใช้เป็นแบบหล่อท้องคานแทนการใช้ไม้แบบ และใช้ไม้แบบเฉพาะด้านข้างคานทั้งสองด้าน คานคอดินอยู่สูงจากระดับดินมากกว่า 1 เมตร ระดับท้องคานคอดินจะสูงจากระดับดินค่อนข้างมาก การก่อสร้างจะต้องใช้ไม้แบบในการหล่อท้องคานคอดิน นอกเหนือจากการใช้ไม้แบบที่ด้านข้างคาน ซึ่งส่งผลเรื่องเวลาในการก่อสร้างรวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้พื้นบ้านควรจะยกสูงขึ้นเท่าไหร่ พิจารณาได้จากพื้นที่รอบข้าง เช่น ถนนหน้าบ้านเป็นแบบเก่าหรือใหม่ และถ้าหากมีการยกพื้นถนน ที่ดินในจุดที่สร้างบ้านอยู่สูงกว่าพื้นถนนไหม กับอีกเรื่องก็คือน้ำท่วมถนนในบริเวณนั้นหรือไม่ 2. คานคอดินที่พื้นคานอยู่สูงกว่าระดับพื้นดิน จะช่วยให้ระดับพื้นบ้านอยู่สูงขึ้นด้วย ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายตอนก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าพิจารณาในหลายๆ ด้านแล้วจะถือว่าคุ้มค่ากว่า เช่นการวางระบบท่อใต้พื้นชั้นล่าง การแก้ปัญหาเรื่องปลวกที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลัง รวมไปถึงปัญหาน้ำท่วมขัง การยกพื้นถนนหน้าบ้านที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ถ้าจะให้ดีที่สุด ระดับพื้นชั้นล่างควรอยู่สูงกว่าระดับถนนอย่างน้อย 1 เมตร Miss Spunpile  Bhumisiam (ภูมิสยาม) บริษัท ภูมิสยาม ซัพพลาย จำกัด […]

การคำนวณหาค่าความแข็งแกร่งของดิน ในรูปของค่าสปริงยืดหยุ่นของฐานรากแบบตื้น

การคำนวณหาค่าความแข็งแกร่งของดิน ในรูปของค่าสปริงยืดหยุ่นของฐานรากแบบตื้น สำหรับฐานรากประเภทนี้ตัวโครงสร้างของฐานรากเองนั้นจะมีความยืดหยุ่นตัว หรือ สามารถที่จะมีการเคลื่อนตัวได้ หากทำการผนวกเอาวิชาทางด้านวิศวกรรมฐานรากตื้นหรือ SHALLOW FOUNDATION ENGINEERING เข้ากันกับทฤษฎีของโครงสร้างหรือ THEORY OF STRUCTURES สามารถที่จะทำการแทนให้แรงปฏิกิริยา ณ จุดรองรับของฐานรากประเภทนี้อยู่ในรูปแบบของแรงลัพธ์ที่เกิดจากสปริงที่มีความยืดหยุ่นตัวหรือว่า ELASTIC SPRING ได้ ซึ่งแรงลัพธ์ของสปริงที่มีความยืดหยุ่นตัวนี้จะสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 แรงหลักๆ ด้วยกันซึ่งได้แก่ 1. แรงลัพธ์ที่อยู่ในรูปแบบของสปริงในแนวดิ่งที่ตั้งฉากกันกับจุดรองรับหรือ AXIAL FORCE-VERTICAL SPRING 2. แรงลัพธ์ที่อยู่ในรูปแบบของสปริงในแนวราบที่วางตัวขนานไปกับจุดรองรับหรือ AXIAL FORCE-HORIZONTAL SPRING 3. แรงลัพธ์ที่อยู่ในรูปแบบของสปริงที่จะดัดรอบตัวของจุดรองรับหรือ MOMENT FORCE-ROTATIONAL SPRING การจะทำให้จุดรองรับมีพฤติกรรมที่สามารถรับแรงปฏิกิริยา ณ จุดรองรับได้ครบทั้ง 3 แรงข้างต้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับค่าความแข็งแกร่งหรือว่าค่า STIFFNESS ของจุดรองรับแต่ละตัว จะสามารถทำการแบ่งออกได้เป็น 4 ปัจจัยหลักๆ ว่าจะมีสภาพเป็นเช่นใด นั่นก็คือ ปัจจัยที่ 1 ดินที่อยู่ใต้โครงสร้างฐานรากของเรานั้นจะต้องมีคุณสมบัติทางด้านความแข็งแรงต่อการรับน้ำหนักที่มากเพียงพอ ปัจจัยที่ […]

คอนกรีตงานก่อสร้างทั่วไป

คอนกรีตงานก่อสร้างทั่วไป คุณสมบัติ คอนกรีตประเภทนี้ ถูกออกแบบส่วนผสมตามค่ากำลังอัดที่อายุ 28 วัน และค่าการยุบตัวสำหรับงานเทคอนกรีตทั่วไป และงานเทคอนกรีตด้วยปั๊ม โดยส่วนผสมแปรผันตามค่าอัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์ รวมทั้งมีการผสมคอนกรีตด้วยสารลดน้ำและหน่วงการก่อตัว ตามมาตรฐาน ASTM C 494 ทำให้คอนกรีตมีความสามารถในการทำงานได้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงระยะเวลาการทำงานสำหรับงานคอนกรีตที่นานขึ้น ขั้นตอนการทำงาน คอนกรีตชนิดนี้เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป และงานเทคอนกรีตที่ต้องใช้คอนกรีตปั๊ม อาทิเช่น อาคารพาณิชย์ บ้านเดี่ยว ทาวเฮาส์ ตึกสูง งานถนน พื้นโรงงาน และลานจอดรถ ที่มีค่าอัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์และค่าการพัฒนากำลังที่เหมาะสมต่อการก่อสร้างโครงสร้างทั่วไป ค่ากำลังอัดของคอนกรีตมีให้เลือกตั้งแต่ 180-450 กก./ตร.ซม. ที่อายุ 28 วัน สำหรับค่าความยุบตัวขนาดต่าง ๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ รวมไปถึงคอนกรีตหยาบที่ไม่รับรองค่ากำลังอัด ข้อแนะนำ 1. หลีกเลี่ยงการผสมน้ำเพิ่มที่หน้างาน เพราะจะทำให้ส่วนผสมคอนกรีตเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลให้คอนกรีตเกิดการแยกตัว ขณะเทคอนกรีต เกิดปัญหาคอนกรีตเป็นฝุ่นที่ผิวหน้า เกิดปัญหาค่ากำลังอัดต่ำกว่าค่าการรับรอง 2. ในระหว่างการเทคอนกรีต ควรมีการลำเลียงคอนกรีตอย่างเหมาะสม ไม่ปล่อยคอนกรีตจากที่สูง เพื่อป้องกันการแยกตัวของคอนกรีต รวมทั้งการทำคอนกรีตให้แน่น อย่างเหมาะสม เพื่อให้คอนกรีตเข้าแบบหล่อได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเนื้อเดียวกัน […]

เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน HOT ROLLED STEEL

เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน HOT ROLLED STEEL โดยในประเทศไทยสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม มีอักษรย่อว่า สมอ. ได้มีการออกประกาศเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมหรือมีอักษรย่อว่า มอก. ของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนก็คือ มาตรฐานเลขที่ มอก. 1227-2539 ส่วนเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นก็คือ มาตรฐานเลขที่ มอก. 1228-25349 ทั้งนี้จุดประสงค์ที่ทาง สมอ. ได้ทำการออกประกาศดังกล่าวออกมาก็เพื่อใช้เป็นมาตรฐานบังคับเพื่อให้ทั้ง 3 ฝ่ายดังต่อไปนี้ได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ทางผู้บริโภคทุกๆฝ่ายนั้น ได้รับผลประโยชน์สูงสุด นั่นก็คือ 1. ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ มีหน้าที่ต้องทำการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณทั้งสองแบบนี้ให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดยที่จะต้องมีรายละเอียดต่างๆ ของตัวผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุญาตจากทาง สมอ. เสมอ 2. ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ มีหน้าที่ต้องทำการจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทุกๆฝ่าย ที่เข้ามาติดต่อขอเป็นผู้ซื้อผลิตภัณฑ์เฉพาะผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณที่ได้คุณภาพและต้องตรงตามมาตรฐานที่ทาง สมอ. นั้นอนุญาตเสมอ 3. ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ มีหน้าที่ต้องทำการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณที่มีคุณภาพและต้องตรงตามมาตรฐานทาง สมอ. นั้นอนุญาตเสมอ Miss Spunpile  Bhumisiam (ภูมิสยาม) บริษัท ภูมิสยาม ซัพพลาย จำกัด ผู้นำกลุ่มธุรกิจเสาเข็มสปันไมโครไพล์ รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่ได้การรับรองมาตรฐาน ISO 45001:2018 […]

เหล็กที่ถูกผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นหรือว่า COLED FORM STEEL

เหล็กที่ถูกผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นหรือว่า COLED FORM STEEL โดยที่เจ้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นนั้นก็จะประกอบไปด้วยหน้าตัดเหล็กทั้งหมด 5 แบบ โดยมีประเภทของเหล็กเพียง 1 ชั้นคุณภาพเท่านั้น ซึ่งก็คือเกรด SSC400 โดยวิธีในการตรวจสอบเบื้องต้นว่าเป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นหรือไม่ วิธีในการตรวจสอบคือ 1. ตรวจสอบการแสดงเครื่องหมายและฉลากต่างๆ บนเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น มีความครบถ้วนหรือไม่ 2. ตรวจสอบตัวนูนที่แสดงชั้นคุณภาพ และชื่อของผู้ผลิต ชื่อย่อ หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน ที่ได้มีการแสดงเอาไว้บนตัวผลิตภัณฑ์ หรือเครื่องหมายการค้า ที่ได้รับอนุญาตจาก สมอ โดยทำการตรวจสอบกับรายชื่อผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาตกับทางสถาบัน 3. ตรวจสอบลักษณะทั่วๆไปทางกายภาพ ภายนอกของเหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็นว่าอยู่ในสภาพผิวที่ค่อนข้างจะเรียบเกลี้ยง ไม่มีรอยแตกร้าวหรือรอยปริใดๆ ที่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 4. ตรวจสอบดูเกรดของเหล็กเป็นเกรดเท่าใด เพราะเกรดของเหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็นนั้นจะมีเพียงแค่เกรดเดียวนั่นก็คือ เหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็นเกรด SSC400 ทั้งนี้วิธีในการผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน นั้นมีความแตกต่างกัน ทำให้พฤติกรรมต่างๆ ของตัววัสดุเหล็ก และกรรมวิธีขั้นตอนในการออกแบบเหล็กทั้งสองประเภทมีความแตกต่างจากกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Miss Spunpile  Bhumisiam (ภูมิสยาม) บริษัท ภูมิสยาม ซัพพลาย จำกัด ผู้นำกลุ่มธุรกิจเสาเข็มสปันไมโครไพล์ รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่ได้การรับรองมาตรฐาน […]

วิธีในการเลือกใช้งาน เสาเข็มแต่ละประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับงานก่อสร้างแต่ละงาน

วิธีในการเลือกใช้งาน เสาเข็มแต่ละประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับงานก่อสร้างแต่ละงาน เสาเข็มแต่ละหน้าตัดนั้นจะมีลักษณะและองค์ประกอบที่มีความแตกต่างกัน เช่น เส้นรอบรูป ขนาดพื้นที่หน้าตัด กระบวนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเสาเข็ม ลักษณะของปลายเสาเข็ม เป็นต้น จะทำให้เสาเข็มแต่ละหน้าตัดมีความเหมาะสมกับชนิดของดิน ที่จะนำไปใช้ตอกแตกต่างกัน จะทำการอ้างอิงถึงเสาเข็มแต่ละชนิดแต่ละหน้าตัด โดยจะมีปลายที่เหมือนๆกัน คือ เป็นปลายแบบ ตัดตรง และจะมีความยาวที่เท่าๆ กัน และหน้าตัดของเสาเข็มแบบใด ที่มีความเหมาะสมต่อการใช้งานกับดินที่มีค่า SPT N-VALUE เป็นเท่าใด จึงจะมีความเหมาะสม และเกิดความคุ้มค่าสูงที่สุด   จะเห็นได้ว่าเมื่อเสาเข็มเป็นปลายแบบ ตัดตรง เสาเข็มทั้ง 3 ชนิดหน้าตัดนี้จะสามารถใช้ทำการตอกผ่านดินที่มีลักษณะ อ่อน ถึง แข็งปานกลาง ได้ และส่วนปลายจะสามารถฝังอยู่ในดินที่มีลักษณะแข็งได้ แต่ไม่ลึกมาก ซึ่งโดยประมาณไม่เกิน 3 เมตร -เสาเข็มทำจาก คอนกรีต ที่มีหน้าตัดเป็น ไอ ที่มีกระบวนการทำงานก่อสร้างตามปกติ จะเหมาะสำหรับดินที่มีค่า SPT N-VALUE สูงสุดอยู่ที่ระหว่าง 25 BLOWS/FT ถึง 35 BLOWS/FT […]

การเลือกใช้งานระบบฐานรากเสาเข็ม

การเลือกใช้งานระบบฐานรากเสาเข็ม ในการใช้งานเสาเข็ม เพื่อให้เสาเข็มในอาคารนั้น มีกำลังในการรับน้ำหนักที่สูงที่สุด และมีการทรุดตัวของเสาเข็มที่น้อยที่สุดด้วย หากเลือกระหว่างการเลือกใช้งานระบบ ฐานรากแบบเสาเข็มเดี่ยว SINGLE PILE กับระบบ ฐานรากแบบเสาเข็มกลุ่ม GROUP PILES แนะนำให้ใช้เป็นระบบ ฐานรากแบบเสาเข็มเดี่ยว เพราะ หากเลือกอาศัยระบบ ฐานรากแบบเสาเข็มกลุ่ม จะพบว่า กำลังในการรับน้ำหนักของเสาเข็มกลุ่มนั้นจะมีค่าที่ “น้อยกว่า” หรือ “เท่ากับ” กำลังในการรับน้ำหนักของเสาเข็มเดี่ยวทั้งหมดรวมกัน หากกำหนดให้ค่า Qas เป็น กำลังในการรับน้ำหนักของเสาเข็มแบบเดี่ยวเพียง 1 ต้น ค่า Qag เป็น กำลังในการรับน้ำหนักของเสาเข็มแบบกลุ่ม และ ค่า N เป็นจำนวนทั้งหมดของเสาเข็ม เราจะพบสิ่งที่มีความน่าสนใจประการหนึ่งนั่นก็คือ Qug ≤ N x Qag โดยปัจจัยหลักๆ ที่จะอาจส่งผลโดยตรงต่อสถานะกำลังและการทรุดตัวของเสาเข็มให้มีค่าที่มากหรือน้อยนั่นก็คือ (1) ระยะห่างระหว่างเสาเข็ม ซึ่งตามปกติจะกำหนดให้ระยะห่างของเสาเข็มมีค่าไม่น้อยกว่า 2 ถึง 3 เท่าของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเสาเข็ม ขึ้นอยู่กับว่า “ปลาย” […]

เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete Columns)

เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete Columns) จะเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคาร โดยตัวอาคารจะถ่ายน้ำหนักมาลงที่เสาในแนวดิ่ง และในบางครั้งอาจจะต้องรับโมเมนต์ดัดด้วย ซึ่งเสาจะมีรูปแบบและข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป ในการพิจารณาออกแบบเสาจะต้องพิจารณาถึงการรับแรงของเสาและลักษณะปลายยึดของหัวเสาด้วย ลักษณะของเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก สามารถแบ่งโดยสังเขปเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. แบ่งตามลักษณะของแรงที่มากระทำ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ – เสาคอนกรีตเสริมเหล็กที่รับแรงตามแนวศูนย์กลางแกนเสา – เสาคอนกรีตเสริมเหล็กที่รับแรงเยื้องศูนย์ 2. แบ่งตามขนาดความสูงของเสา สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ – เสาสั้น คือ เสาที่มีอัตราส่วนความสูงต่อด้านแคบของเสา (เสาสี่เหลี่ยม) หรืออัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางเสา (เสากลม) น้อยกว่า 15 – เสายาว คือ เสาที่มีอัตราส่วนความสูงต่อด้านแคบของเสา (เสาสี่เหลี่ยม) หรือ อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่าศูนย์กลางเสา (เสากลม) มากกว่า 15 ซึ่งความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาจะลดลง แหล่งข้อมูล – civilclub.net Miss Spunpile  […]